Aug 18, 2011

alexander mcqueen


it was fall1995 in gap press that i 1st saw his work "highland rape" then this s/s1996 the rich bouquet and the bumster. the start of the eccentric londoner.
the walk in the water s/s1997 beginning of the dark romantic.
 then it was this image by nick knight show the alien devon like x avant gardist
burn baby burn. on fire! s/s 1998 "joan of arc"
 this is the memorable "fashion moment" the end of "show no.13" fall1998 shalom walk in white dress spin and spray paint by the moving robot.
 s/s 2001 models were walk in the mirror box that blind from the audience (only audience can see models)
 a/w2003 memoir of  the geisha
 dance and run in pretty chiffon dress base on the movie "they shoot horses, don't they?" s/s2004
 one of my faverite show! s/s2005 หมากรุก the show must go on.
 made of real flowers! S/S2007
 a/w2006 เหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยายเลย สวยมากๆ
 s/s2007 via vogue
รายละเอียดดีเทลอลัง!แน่นเอียด
 a/w2008 ชุดโปรดจากคอลเล็กชั่นนี้ กับเครื่องประดับ และกระเป๋าทรงไข่!
 his last men's collection. show in paris a/w2010
 the lady gaga collection s/s2010 เมืองบาดาล also one of the most expensive in show production cost.
 fall2009 เวทีกับชุดเค้าดราม่าน่าทึ่งสุดยอดจริงๆ
Alexander McQueen 1969-2010
 
 กลายเป็นเรื่องช๊อควงการแฟชั่น เมื่อข่าวของ Alexander McQueen ดีไซเนอร์ชื่อดังวัย 40 ปี ชาวอังกฤษได้ปลิดชีพตัวเองด้วยการแขวนคอตายที่บ้านพักของเค้า 1 อาทิตย์หลังจากการจากไปของมารดาเค้า นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของโลกแฟชั่นอีกครั้ง หลังจากการจากไปของดีไซเนอร์รุ่นใหญ่อย่าง Yves Saint Laurent เมื่อปีที่แล้ว ผมทราบข่าวการตายของเค้า เช้าวันที่ 12 กุมภาพันธ์ จากเพื่อนๆ ทาง BB Chat โดยตอนแรกคิดว่าเป็นโจ๊กเหมือนข่าวลือเรื่องจอนนี้ เด็ปตายแล้ว ผมเลยรีบลุกขึ้นไปเปิด BBC News ดู จึงทราบว่าเป็นเรื่องจริง! 
 Alexander McQueen ถือว่าเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่ผมชื่นชอบและมีอิทธิพลต่อการเรียนแฟชั่นของผมในช่วงปี 1995 ช่วงที่แฟชั่นสำหรับผมคือการทดลอง ได้เห็นคอลเล็กชั่นของ McQueen “Highland Rape” โดยที่เค้าส่งนางแบบเดินลงมารันเวย์ใส่ชุดประโปรงสูทเข้ารูปกับชุดผ้าลูกไม้ที่มีรอยฉีกขาดตามที่ต่างๆ สร้างความประทับใจให้กับผมเป็นอย่างมาก เพราไม่มีใครเคยทำมาก่อน โดยที่ McQueen อธิบายถึงคอลเล็กชั่นเค้าว่า ผู้หญิงชาวสก็อตแลนด์พวกนี้ถูกข่มขืน โดยชาวอังกฤษ มันเป็นการเสียดสีสังคมและเชื้อชาติของเค้าเองออกมาเป็นคอนเซ็ปท์เสื้อผ้าอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ปี 1997 ในคอลเล็กชั่น “It’s a jungle out there” เค้าได้นำเสนอเสื้อผ้าแนว Street เช่นยีนส์มาฉีกและทำสีใหม่ผสมกับ High Fashion เช่นนำหนังสัตว์มาปักฉลุลายดอกไม้ ได้อย่างน่าทึ่ง! ”Untitled” ทีเปลี่ยนชื่อมาจาก “The Golden Shower” (1998) เป็นอีกหนึ่งคอลเล็กชั่นในยุคแรกๆ ที่ผมประทับใจ เพราะเพื่อนสนิทผมชาวสวิสที่ชนะรางวัล และได้ไปฝึกงานกับเค้า เธอเล่าว่าโชว์ของ McQueen เกิดขึ้นได้จากเพื่อนสนิทและคนที่เค้าคัดเองที่มีฝีมือสุดยอดทั้งนั้นที่มาช่วยเค้าในลอนดอน นางแบบเดินบน Catwalk ที่เป็นแท็งก์น้ำกระจก โดยครึ่งหลังของโชว์มีน้ำตกลงมาจากเพดาน และมีการพ่นสีหมึกดำเข้าไปที่แท็งก์น้ำ ทำให้นางแบบอย่าง Kate Moss (เพื่อนสนิมในเวลาต่อมา) ที่สวมชุดผ้ายืดสีขาวเปียกเลอะไปด้วย ฝน และมาสคาร่าสีดำ โชว์เหล่านี้ทำให้เค้าถูกเรียกว่าเป็น “Bad Boy” แห่งวงการแฟชั่นคนใหม่ ต่อจาก Gaultier ในปารีส
 ปี 1999 เป็นช่วงลำบากสำหรับเค้า เพรากระแสแฟชั่นแนว “Minimal” มาแรงอย่างสุดๆ ทำให้เค้าต้องทำการบ้านหนักมากขึ้น แต่เค้าก้อยังสร้างความฉงนใจให้กับผมในทุกๆ ครั้งที่เค้าทำ “Show” เค้าเป็นดีไซเนอร์ที่กล้าคิดนอกกรอบ และเป็นผู้ริเริ่มคอนเซ็ปท์ พ่อมดแห่งแฟชั่น โดยการหยิบเอาเรื่องที่คนไม่กล้าแตะต้อง อย่างเช่นเรื่องศาสนาหรือการเมืองมาล้อเลียน ด้วยเหตุนี้ หลังเรียนจบ ผมจึงเลือกฝึกงานกับ “Reva” เพื่อนและ Roommate ของ Alexander McQueen ในสมัยช่วงที่เค้าเรียนที่ Central St. Martin, Reva เล่าว่า “Lee” (ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งที่เพื่อนๆเค้า เรียกกัน) เป็นคนเงียบๆ และชอบเก็บตัวอยู่กับแฟนของเค้าในห้อง แต่เค้าเป็นคนขยันและเก่งในเรื่องตัดเย็บมาก
 จนกระทั่งผมย้ายไป New York ผมก็ได้ซื้อเสื้อผ้าของ McQueen เป็นชิ้นแรกคือ กางเกงผู้หญิง (ตอนนั้นยังไม่มีคอลเล็กชั่นผู้ชาย) สีดำที่มีซิปสีเงินเปิดได้ปะตรงหน้าขา เมื่อเพื่อนๆ ผมเห็นต่างคนก้อต่างหัวเราะและถามว่าผมใส่กางเกงอะไร? ผมติดตามผลงานของเค้ามาตลอด แม้กระทั่งช่วงที่เป็น Hi-Light ของการทำงานของเค้าก้อว่าได้ คือการได้เป็นหัวเรือใหญ่ให้กับห้องเสื้อชั้นสูงของฝรั่งเศสอย่าง “Givenchy” ต่อจากรุ่นพี่อย่าง John Galliano แต่ด้วยเพียงแค่ไม่กี่คอลเล็กชั่นเค้าก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะเสื้อผ้าเค้า ไม่ขาย และไม่ถูกใจกลุ่มลูกค้าเก่าๆ ของห้องเสื้อ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ McQueen หมดกำลังใจ Gucci Group ซื้อหุ้น 51% ของ McQueen ต่อจาก LVMH ในปี 2000 และเค้าก้อยังสร้างผลงานแนวดราม่า ที่คนดูต้องอ้าปากค้างออกมาอย่างต่อเนื่อง
 
คอลเล็กสุดท้ายของแม็กควีน เสื้อผ้าผู้หญิงฤดูร้อน2010ในกรุงปารีส โลกแฟชั่นต้องตะลึงอีกครั้ง เมื่อเค้าส่งนางแบบตัวสูงปรี๊ดในชุดพิมพ์ลาย Digital ดูเหมือนหลุดออกมาจากเมืองใต้บาดาล  กับรองเท้าทรงประหลาดสู่รับเวย์ไฮเทคด้วยมูลค่าการทำโชว์สูงถึง 1 ล้านปอนด์! ส่วนคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าผู้ชายที่โชว์เมื่อต้นปีมีความเป็นดราม่าน้อยสุดแต่เน้นไปที่ลายพิมพ์"X-ray" และที่รายละเอียดของเสื้อผ้า ใครจะรู้ว่านั่นคือการเดินมาครั้งสุดท้ายต่อหน้าสื่อ ล่าสุดทางGucci Group ออกมาแถลงข่าวว่าจะยังมีแบรนด์เสื้อผ้าไลน์นี่ต่อไป คนดังมากมายสวมเสื้อผ้าการออกแบบของเค้า เช่น Isabella Blow, Madonna และ Lady Gaga!
การตายของ McQueen สร้างความช็อกให้กับคนในวงการแฟชั่นอย่างหลากหลาย ตั้งแต่เพื่อน, ช่างภาพ, นางแบบ, แฟนคลับ แม้กระทั่งเหล่า Blogger ชื่อดังอย่าง Bryan boy ซึ่งทราบข่าวการตายเค้า หลังเวทีของโชว์ BCBG ฤดูหนาว2010 ใน NY. หรือ Susie แห่ง Style bubble ผู้บอกในบล็อกของเธอว่า พูดไม่ออก มันเป็นการจากไปอย่างกะทันหันเหลือเกิน McQueen เคยกล่าวไว้ว่า เค้ารักในตัวของผู้หญิง เค้าต้องการให้ผู้หญิงของเค้าดูมีพลังและไม่นาอีฟ
 
ผมจึงขอไว้อาลัยต่อการจากไปให้กับ Alexander McQueen ดีไซเนอร์ผู้เป็นที่รัก มา ณ ที่นี้ด้วย

นอกจากผ้าพันคอลายหัวกระโหลกก็มีรองเท้าบ้าๆและผลงานอื่นๆอีกมากมาย. นี้เป็นบทความที่มาร์กเขียนให้กับนิตยสาร crush ปีที่แล้ว(ซึ่งตายไปแล้วเหมือนกัน) แต่พอดีพึ่งไปเจอ เลยเกิดคิดถึงเค้าขึ้นมาทั้งๆที่ผ่านมาไม่นาน------------------------------------- http://www.alexandermcqueen.com/



2 comments:

  1. รูปแรกๆ น่ากลัวมากกก
    เป็นแฟชั่นโชว์ที่แตกต่างจริงๆ

    ReplyDelete
  2. เป็นconceptงานของเค้าเลยอะคะ จะdarkหน่อย เหมือนบูชาผี แต่ก็ทำให้งานของเค้าแตกต่างและโดดเด่นมาจากดีไซนเนอร์คนอื่นๆคะ :)

    ReplyDelete